วิธีคิด (Mindset) เป็นสิ่งที่สำคัญมากในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการใช้ชีวิต มุมมอง การโต้ตอบกับสิ่งรอบตัว หรือแม้กระทั่งนิสัยในการทำงานฟรีแลนซ์ของคุณด้วย วิธีคิดที่ดีอาจจะเป็นสิ่งที่ช่วยให้คุณก้าวข้ามผ่านอุปสรรค์ที่ยากเย็นในสายอาชีพคุณได้เลย
หากคุณอยากเป็นฟรีแลนซ์...เพื่อช่วยให้คุณประสบความสำเร็จในสายนี้อาจจะต้องลองปรับ mindset ใหม่ โดยเริ่มจากปรับนิสัยของเราก่อน สิ่งแรกที่ควรจะคิดถึงคือการตั้ง mindset ที่ดี ซึ่งมันมีผลโดยตรงกับนิสัยของเราและต้องทำให้สม่ำเสมอ จนมันจมเข้าไปในสมองของเราโดยให้มันเป็นความเคยชินแบบที่เราไม่ต้องพยายามคิดถึงมัน วันนี้แอดจะมาลองยกตัวอย่างถึงนิสัยที่ดีที่จะช่วยเปลี่ยนวิธีคิดของเราและยังช่วยส่งเสริมการทำอาชีพฟรีแลนซ์มาให้ลองอ่านและลองทำตามกัน
1.Write as Much as Possible เขียน เขียน และ เขียน
หนึ่งในนิสัยที่สำคัญคือการ เขียน คุณต้องเขียนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ อย่ามัวแต่ทำงานที่คุณถนัดอย่างเดียว แต่สำหรับบางคนที่คุณสามารถเขียนได้เก่งอยู่แล้วเพราะคุณเป็นนักเขียน เพราะฉะนั้นการเขียนนั้นจึงเป็นความหลงไหลของคุณแต่อาจจะยังไม่ได้เป็น mindset ของคุณ เราต้องฝึกฝนการเขียนให้เป็น Passion และทำมันไปเรื่อยๆ จนการเขียนได้เป็นนิสัยที่ฝังไว้ในตัวคุณ
แล้วอย่างนิสัยดีๆที่น่าทำตามอย่างการเขียน นี้ แอดอยากจะลองให้เพื่อนๆลอง เขียน ทุกอย่างให้มากที่สุดไม่ใช่แค่เพื่อพัฒนาฝีมือของเราเท่านั้น อาจจะเขียนไอเดียต่างๆที่แว้บเข้ามา หรือการเขียน blog ประจำตัวเรื่องรางต่างๆที่ได้พบเจอ หรือความประทับต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตามที่เขียนได้ในเวลาว่าง (แต่จะต้องรู้สึกอยากทำด้วยนะ!)
2.Remind Yourself of Your Goals ตั้งเป้าหมาย และมองเห็นมันเสมอ (หมายถึงมองเห็นด้วยตาจริงๆนะ)
การมีนิสัยจะทำอะไรก็นึกถึงเป้าหมายในชีวิตของเราไว้ก่อนนั้น มีพลังสุดๆ นี่แหละเป็นคำตอบว่าทำไมเครื่องมือที่ชื่อ "vision boards" ถึงมีประโยชน์สุดๆเช่นกัน
ก่อนอื่นต้องเข้าก่อนว่ากระดาน vision boards ช่วยอะไรเราได้บ้าง ?
เรารู้ดีว่าเป้าหมายในชีวิตของเราเป็นแรงขับเคลื่อนให้เรามีพลังในการทำงานฟรีแลนซ์ แต่คุณได้ใช้พลังนั้นเต็มที่แล้วหรือยังล่ะ? วิธีง่ายๆคือคุณต้องรับรู้เป้าหมายชีวิตของคุณตลอดเวลาโดยไม่ลืมมัน การที่ต้องมานั่งนึกถึงเป้าหมายตลอดเวลาอาจจะยากไปหน่อย มีวิธีง่ายๆคือการเอามันมาตั้งอยู่ตรงหน้าคุณนั่นเอง
ให้คุณเขียนเป้าหมายของคุณในกระดาษ Note แล้วแปะมันไว้บนกระดาน, บนหน้าจอคอมพิวเตอร์, บนโทรศัพท์ หรือตั้งปลุกในมือถือคุณพร้อมใส่ข้อมูลเป็นเป้าหมายเอาไว้แบบสุ่มเวลา เพื่อให้มันคอยเตือนคุณและดึงคุณกลับมาบนเส้นทางที่ตั้งใจ ไม่เสียแรงไปทำในสิ่งที่ไม่ได้ช่วยให้คุณทำเป้าหมายสำเร็จ
รูปจาก https://www.instagram.com/elnacain/
เป้าหมายอาจจะแปลกๆหน่อยอย่างเช่น ต้องออกจากบ้านไปอยู่คนเดียวให้ได้ เลี้ยงตัวเองให้ได้ ออกจากงานที่ทรมานอยู่นี้ให้ได้ ไม่สำคัญว่าเป้าหมายจะเป็นอะไร มันจะเป็นอะไรก็ได้!! เตือนตัวเองไว้เสมอทุกๆวันว่าเป้าหมายของคุณคืออะไร เพื่อเป็นการเติมพลังสร้างนิสัยที่ดีด้วยพลังแห่งความหวังของเรานั่นเอง
3.Remind Yourself of Your New Role as a Freelancer จำไว้เสมอว่าคุณคือฟรีแลนซ์ตัวจริงผู้ทำตามฝัน
ไม่ใช่ทุกคนที่จะอยากเป็นฟรีแลนซ์หรืออาชีพอิสระ เพราะยังคงติดอยู่ในความคิดเหมือนคนทั่วๆไปนั่นคืองานประจำมันมั่นคง คนเป็นล้านๆคนไม่ได้กล้าทำอะไรในแบบที่คุณกำลังทำอยู่ในตอนนี้!! มันน่าคิดนะที่พวกเขาไม่กล้าออกมาจากสิ่งที่ทำอยู่ทั้งๆที่ต้องทนเจ็บปวดกับมันอยู่ตลอดเวลา
แต่อย่าคิดว่าฟรีแลนซ์เป็นสายอาชีพที่ไม่มีวันตาย หรือดีกว่าพนักงานประจำ คุณต้องเข้าใจว่าเราคืออาชีพที่ปลดแอกตัวเองออกมาจากความทุกข์ของการเป็นพนักงานประจำ จงจำไว้ว่าคุณคือคนที่ทำมันจริงๆ ไม่ใช่แค่พูด คุณคือฟรีแลนซ์จริงๆ และนี่คือแนวคิดที่จะช่วยให้คุณมีพลังในอาชีพนี้ต่อ
4.Keep at That Action ทำมันไปเรื่อยๆอย่าหยุด
หนึ่งในอุปสรรค์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในการเป็นฟรีแลนซ์ไม่ว่าจะสายไหน นั่นคือความมีวินัยในตัวเองอย่ามัวแต่ไปคาดหวังถึงความสำเร็จต่างๆถ้าเราไม่แม้แต่จะลงมือทำอะไรซักอย่าง การสร้างวินัยนี้ต้องอาศัยการฝึกฝนทำไปเรื่อยๆจนเกิดเป็นความเคยชินและกลายเป็นนิสัยของเราไปในที่สุด อย่างที่เราได้ย้ำเตือนไปในข้อข้างต้น
วินัยเป็นอีก 1 นิสัยที่คุณต้องพัฒนามันทุกๆวัน ต้องฝึกฝนเหมือนการเขียนนั่นแหละ แต่อาจจะยากหน่อยเพราะมันคือการทำสิ่งที่คุณไม่อยากจะทำมันทุกๆวัน จนเป็นนิสัย ซึ่งมันจะกลายเป็นวินัยได้อย่างน่าอัศจรรย์ ต้องขอบคุณสมองของคุณที่ทำให้คุณสามารถฝึกวินัยได้โดยไม่รู้ตัว ผลลัพธ์ที่ได้จะไม่ได้เห็นมันในเร็ววันนี้หรอก มันอาจจะนานและทำให้เครียดขึ้นแต่ผลลัพธ์นั้นมีความสำคัญต่อวิธีคิดของและเป็นแรงผลักดันให้ชีวิตการทำงานของคุณแน่นอน
5.Embrace All Your Mistakes ผิดพลาดเพื่อพัฒนา
ไม่ว่าใครก็สามารถทำพลาดได้ไม่เว้นแม้แต่ฟรีแลนซ์แบบคุณที่อาจจะทำเรื่องผิดพลาดเล็กๆน้อย เช่น การสะกดคำ,การเรียบเรียงประโยคต่างๆ หรือแม้แต่จะเป็นการลืมตามงานจากทางลูกค้าก็ตาม เป็นต้น สิ่งเหล่านี้คือเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้ง่ายๆกับทุกคน จงอย่าลืมว่าคุณเป็นมนุษย์ และมนุษย์ทุกคนสามารถทำผิดพลาดกันได้ทั้งนั้น มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้โดยที่คุณไม่จำเป็นต้องมานั่งหาเหตุผล หรือข้ออ้างให้ความผิดพลาดที่เกิดขึ้น
เมื่อเกิดข้อผิดพลาดขึ้นคุณไม่ควรจะอายและพยายามปกปิดหรือหาเหตุผลข้ออ้างต่างๆนาๆ แต่ควรที่จะรับรู้และเรียนรู้จากความผิดพลาดนั้นไว้ให้ดี การปล่อยหรือยอมให้ความผิดพลาดเป็นตัวฉุดรั้งความสามารถของคุณไว้นั้นมันจะไม่ช่วยอะไรเลย แถมยังทำให้คุณจมปลักและไม่ก้าวหน้าในการใช้ชีวิตอีกด้วย
6.Learn, Learn, Learn อย่าหยุดเรียนรู้
ทุกสิ่งมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ทั้งความรู้ เทคโนโลยี เทคนิควิธีการต่างๆเพราะฉะนั้นคุณก็ไม่ควรจะหยุดอยู่กับที่หมั่นเรียนรู้การเปลี่ยนแปลงต่างๆให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะการเรียนรู้เป็นสิ่งหนึ่งที่จะช่วยให้เราสามารถพัฒนาและก้าวไปข้างหน้าได้อย่างทันเหตุการณ์
จริงๆแล้วคุณคือผู้ที่รู้เรื่องสิ่งที่ลูกค้าต้องการได้ดีกว่าตัวลูกค้าเองเสียอีก หากคุณคือผู้ที่สะสมความรู้จากประสบการณ์และการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆตลอดเวลา เมื่อคุณนำความรู้มาแนะนำลูกค้า สิ่งเหล่านี้จะพุ่งตรงไปถึงหัวหน้างานของลูกค้าหรือตัวลูกค้าเองได้ทันที มันจะทำให้คุณรู้สึกดีตอนคุยกับลูกค้าหรือแม้กระทั่งในสายตาของลูกค้าเองก็รู้สึกดีเช่นกัน
7.Don’t Forget to Be Alive งานสำคัญ ชีวิตคุณก็สำคัญ
จงอย่าลืมที่จะใช้ชีวิต!! อย่ามัวแต่ทำงานอยู่ตลอดเวลาเพราะคุณก็เป็นมนุษย์ธรรมดาๆที่จะต้องพักผ่อน ทำงานอดิเรก หรือออกไปท่องเที่ยวบ้างการปล่อยวางเป็นอีกหนึ่งนิสัยที่ควรเรียนรู้ที่จะทำ บ่อยครั้งที่คุณมักจะปล่อยให้งานครอบงำทุกอย่างในชีวิต ต้องยอมรับเลยว่าผมเองก็อิจฉาที่เห็นคนที่สามารถหยุดทำงานทุกอย่างได้เมื่อถึงเวลาที่ต้องพัก ยิ่งเป็นฟรีแลนซ์ยิ่งยาก เพราะงานอยู่กับเราทุกที่และทุกเวลา หากเราตัดใจจากงานไม่เป็นเราก็จะไม่มีเวลาให้กับชีวิตอีกครึ่งหนึ่งของเรา
อย่าปล่อยให้นิสัยการชอบเรียนรู้ ชอบทำงานมาบดขยี้หรือกดดันตัวเองจนเกินไปจนอาจจะส่งผลเสียต่อสุขภาพ แต่จงค้นหาหรือรู้จักความสมดุลระหว่างการทำงานและการใช้ชีวิตอย่างเช่น คุณเป็นฟรีแลนซ์นักเขียนคุณต้องคิดและเขียนงานแต่อย่าปล่อยให้การเขียนคือทั้งหมดในชีวิตของคุณ ลองถอยออกมาพักมีพื้นที่ให้ตัวเองบ้าง ไม่เช่นนั้นการเขียนซึ่งเป็นวิธีคิดที่ควรทำที่บอกในข้อแรกอาจจะไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร
-บทสรุป-
ไม่รู้ว่าคุณได้เคยสังเกตุหรือเปล่า แต่ทุกๆการกระทำของคุณได้ช่วยพัฒนาหรือเปลี่ยนแปลงวิธีคิดของคุณอยู่เสมอ ซึ่งก็คงจะไม่ยากเกินไปถ้าจะลองเพิ่มหรือเปลี่ยนพฤติกรรมดูบ้าง ลองนำวิธีการที่แนะนำนี้ไปปรับใช้ให้เหมาะสมกับชีวิตของคุณดู