กองทุนการออมแห่งชาติ คืออะไร?
กองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. เป็นกองทุนการออมเพื่อส่งเสริมให้ผู้ที่ประกอบอาชีพอิสระหรืออยู่นอกระบบบำเหน็จบำนาญของรัฐ ได้ออมเงินเพื่อใช้ในยามเกษียณ โดยรัฐจะช่วยจ่ายสมทบให้ส่วนหนึ่ง และเมื่อผู้ออมเงินมีอายุครบ 60 ปี ก็จะได้รับเงินบำนาญเป็นรายเดือนตลอดชีวิต ซึ่งถือเป็นการสร้างหลักประกันให้กับชีวิตในยามที่ไม่มีรายได้ประจำ งานนี้มนุษย์ฟรีแลนซ์มีเฮ เพราะถึงแม้ว่าจะไม่ได้อยู่ในระบบประกันสังคมอย่างมนุษย์เงินเดือนคนอื่น แต่ก็สามารถมีเงินบำนาญใช้ในวัยเกษียณได้เช่นเดียวกัน
ใครบ้างที่มีสิทธิสมัคร?
- ผู้มีสัญชาติไทย
- อายุไม่ต่ำกว่า 15 ปีบริบูรณ์ และไม่เกิน 60 ปีบริบูรณ์
- ไม่เป็นผู้ประกันตนตามกฎหมายว่าด้วยประกันสังคม ซึ่งส่งเงินเพื่อได้รับประโยชน์ทดแทนกรณีชราภาพ สมาชิกกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ สมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือสมาชิกกองทุนหรืออยู่ในระบบบำเหน็จบำนาญอื่นที่มีการจ่ายสมทบโดยรัฐหรือนายจ้าง เช่น เกษตรกร ผู้ประกอบอาชีพอิสระ ค้าขาย รับจ้างทั่วไป แม่บ้าน นักเรียน นักศึกษา เป็นต้น
การส่งเงินสะสมและการจ่ายเงินสมทบจากรัฐบาล
สมาชิกสามารถส่งเงินสะสมงวดแรกพร้อมกับการสมัครสมาชิกได้ตั้งแต่เดือนละ 50 บาทถึง 13,200 บาทในปีนั้นๆ โดยไม่จำเป็นต้องส่งเงินเท่ากันทุกเดือน แต่ถ้าไม่ได้ส่งเงินสะสม ก็จะไม่ได้เงินสมทบจากรัฐในเดือนนั้น และเมื่อสมาชิกส่งเงินสะสม รัฐจะจ่ายเงินสมทบให้ภายในสิ้นเดือนถัดไปตามอัตราดังนี้
อายุของสมาชิกขณะส่งเงินสมทบ |
เงินสมทบที่รัฐบาลจ่ายให้ |
เพดานเงินสมทบจากรัฐบาล |
ตั้งแต่ 15 ปี แต่ไม่เกิน 30 ปี |
50% ของเงินสะสม |
ไม่เกิน 600 บาท/ปี |
มากกว่า 30 ปี แต่ไม่เกิน 50 ปี |
80% ของเงินสะสม |
ไม่เกิน 960 บาท/ปี |
มากกว่า 50 ปี |
100% ของเงินสะสม |
ไม่เกิน 1,200 บาท/ปี |
การรับประกันผลตอบแทน
รัฐบาลจะรับประกันผลตอบแทนของสมาชิก โดยในวันที่สมาชิกสิ้นสภาพ (อายุครบ 60 ปี หรือเสียชีวิต) ให้ผลตอบแทนของเงินสะสมและเงินสมทบได้ ไม่น้อยกว่าอัตราดอกเบี้ยฝากประจำประเภท 12 เดือน โดยเฉลี่ยของธนาคารออมสิน ธ.ก.ส. และธนาคารพาณิชย์แห่งใหญ่ 5 แห่ง
ส่งเงินสะสมไปแล้ว อยากใช้เงิน ทำยังไงได้บ้าง?
สมาชิกกอช. มีสิทธิรับเงินได้ 4 กรณี ได้แก่
-
อายุครบ 60 ปี รับบำนาญรายเดือนตลอดชีวิตที่เหลืออยู่
-
ทุพพลภาพก่อนอายุครบ 60 ปี ได้รับเงินสะสมและผลประโยชน์ของเงินสะสม ส่วนเงินสมทบและผลประโยชน์ของเงินสมทบจะได้รับเมื่อมีอายุครบ 6 ปีบริบูรณ์
-
ลาออกจากกองทุน ได้รับเงินก้อนสะสมและผลประโยชน์ของเงินสะสม (สามารถสมัครใหม่ได้)
-
เสียชีวิต ได้รับเงินเท่ากับจำนวนเงินในบัญชีของแต่ละบุคคล โดยมีผู้รับผลประโยชน์คือทายาท
* จะเห็นว่ากองทุนนี้ไม่สามารถนำเงินออกมาใช้ก่อนอายุครบ 60 ปีได้ (ยกเว้นจะลาออกจากกองทุน) ซึ่งเป็นผลจากนโยบายของรัฐที่ต้องการให้ผู้ส่งเงินมีหลักประกันความเป็นอยู่หลังเกษียณอายุการทำงาน ดังนั้นเพื่อความมั่นคงในบั้นปลาย ก็ส่งเงินสะสมจนถึงอายุ 60 จะคุ้มกว่า ได้ Passive Income เน้นๆ
ออมยังไงให้ได้เงินบำนาญ?
ตามกฎหมายได้ระบุไว้ว่าถ้าผลของการคำนวณบำนาญได้ต่ำกว่าเดือนละ 600 บาท เราจะได้เป็นเงินดำรงชีพ ซึ่งรัฐจะจ่ายคืนให้จนกว่าเงินในบัญชีของเราจะหมดไป แต่หากคำนวณแล้วได้มากกว่าหรือเท่ากับ 600 บาท รัฐจะจ่ายเงินบำนาญให้จนกว่าเราจะเสียชีวิต
สถานการณ์ตัวอย่าง 1
สมมติเราอายุ 50 ปี ออมเงินเดือนละ 800 บาท เป็นเวลาทั้งหมด 10 ปี (รัฐสมทบให้ 100% ไม่เกินปีละ 1,200 บาท) เมื่ออายุ 60 เราจะมีเงินสะสมทั้งหมด
(9,600 + 1,200) x 10 = 108,000 บาท |
รัฐกำหนดให้เรามีอายุขัยโดยประมาณที่ 80 ปี เท่ากับเราจะมีชีวิตต่ออีก 20 ปี = 240 เดือน
เมื่อหารเฉลี่ยต่อเดือนจะได้เท่ากับ 108,000/240 = เดือนละ 450 บาท
การออมแบบกรณีข้างต้น จึงไม่สามารถได้เงินบำนาญ เนื่องจากเมื่อหารเฉลี่ยต่อเดือนแล้วได้ต่ำกว่า 600 บาท ซึ่งกรณีนี้ รัฐจะจ่ายคืนให้เดือนละ 600 บาท เป็นระยะเวลา 180 เดือน (หรือเท่ากับ 15 ปี) เท่านั้น เงินนี้จะเรียกว่า “เงินดำรงชีพ”
สถานการณ์ตัวอย่าง 2
สมมติเราอายุ 50 ปี ออมเงินเดือนละ 1,100 บาท เป็นเวลาทั้งหมด 10 ปี (รัฐสมทบให้ 100% ไม่เกินปีละ 1,200 บาท) เมื่ออายุ 60 เราจะมีเงินสะสมทั้งหมด
(13,200 + 1,200) x 10 = 144,000 บาท |
รัฐกำหนดให้เรามีอายุขัยโดยประมาณที่ 80 ปี เท่ากับเราจะมีชีวิตต่ออีก 20 ปี = 240 เดือน
เมื่อหารเฉลี่ยต่อเดือนจะได้เท่ากับ 144,000/240 = เดือนละ 600 บาท
การออมแบบกรณีนี้จะทำให้เราได้เงินบำนาญ เนื่องจากเมื่อหารเฉลี่ยต่อเดือนแล้วได้เท่ากับ 600 บาท ซึ่งกรณีนี้รัฐจะจ่ายคืนให้เดือนละ 600 บาท เป็นระยะเวลา 240 เดือน (20 ปี) และถึงแม้ว่าเราจะมีอายุเกิน 80 ปี รัฐก็จะยังคงจ่ายเงินบำนาญจำนวนนี้ให้อยู่
สถานการณ์ตัวอย่าง 3
สมมติเราอายุ 25 ปี ออมเงินเดือนละ 1,100 บาท เป็นเวลาทั้งหมด 35 ปี (รัฐสมทบให้ 50%, 80% และ 100% ตามช่วงอายุที่กำหนด) เมื่ออายุ 60 เราจะมีเงินสะสมทั้งหมด
[(13,200 + 600) x 5] + [(13,200 + 960) x 20] + [(13,200 + 1,200) x 10] = 496,200 บาท |
เมื่อหารเฉลี่ยต่อเดือนจะได้เท่ากับ 496,200/240 = เดือนละ 2,067.50 บาท
กรณีนี้รัฐจะจ่ายเงินบำนาญให้เราเดือนละ 2,067.50 บาทเป็นระยะเวลา 240 เดือน (20 ปี) และถึงแม้ว่าเราจะมีอายุเกิน 80 ปี รัฐก็จะยังคงจ่ายเงินบำนาญจำนวนนี้ให้อยู่ จนกว่าจะเสียชีวิต
ฉะนั้น แนะนำให้ออมแบบเต็มพิกัดจึงจะดีที่สุด (เป้าหมายขั้นต่ำที่จะทำให้เรามีสิทธิได้รับเงินบำนาญก็คือ 144,000 บาท) นอกจากนี้ ยิ่งเราเริ่มต้นออมเร็วเท่าไหร่ ก็จะยิ่งได้เงินบำนาญสูงมากขึ้นเท่านั้น ทั้งนี้จำนวนเงินดังกล่าวยังไม่รวมดอกเบี้ยที่ได้จากการนำเงินไปลงทุนของรัฐ ซึ่งรัฐรับประกันว่าจะได้ผลตอบแทนไม่น้อยกว่าอัตราดอกเบี้ยฝากประจำอีกด้วย
ดีขนาดนี้ แล้วสมัครยังไง?
สามารถสมัครและส่งเงินสะสมได้ที่ธนาคารออมสิน ธนาคารกรุงไทย และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธกส.) ได้ทุกสาขาทั่วประเทศ โดยใช้หลักฐานในการสมัครแค่บัตรประชาชนเพียงใบเดียวเท่านั้น
คำถามสุดท้าย คุ้มมั้ย?
แน่นอนว่าการเลือกออมเงินกับกองทุนการออมแห่งชาติ เป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการ "ซื้อหลักประกัน" สำหรับฟรีแลนซ์หรือผู้ทำงานนอกระบบอื่นๆ ที่ไม่มีการออมเงินภาคบังคับแบบมนุษย์เงินเดือนทั่วไป อาจมีทางเลือกในการออมอื่นๆ เช่น ประกันชีวิต ประกันแบบบำนาญ การเปิดบัญชีธนาคารแบบฝากประจำ การลงทุนในหุ้น และอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งอาจให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า แต่การค่อยๆ เริ่มต้นออมทีละนิดละน้อย ก็ยังดีกว่าไม่ได้ออมอะไรเลย และการออมเงินกับกองทุนการออมแห่งชาตินี้ก็ไม่ได้บังคับว่าจะต้องออมเงินเท่ากันทุกๆ เดือน ดังนั้นการออมกับกองทุนการออมแห่งชาติ จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่จะทำให้เรามีเงินออมที่มากขึ้นในอนาคตนั่นเอง