นับเป็นตลาดที่มีการแข่งขันกันอย่างดุเดือดไม่น้อย กับธุรกิจขนส่งผู้โดยสารด้วยรถส่วนบุคคล โดยล่าสุดทาง Grab คู่แข่งรายสำคัญของ Uber ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แถลงข่าวถึงการลงทุนเชิงกลยุทธ์ ที่จับมือกับผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นรายใหญ่อย่าง Honda เพื่อเสริมทัพในการพัฒนาระบบขับขี่อัตโนมัติหรือ Self-driving ให้เกิดขึ้นได้ในอนาคต
ถึงแม้ว่า Grab จะไม่ได้เปิดเผยถึงในแง่ของการระดมทุนในงานแถลงข่าววันนี้ก็จริง แต่ก็ได้กล่าวถึงบันทึกความเข้าใจระหว่าง Grab และ Honda ถึงความร่วมมือในการให้ความรู้แก่ผู้ขับขี่เพื่อสนับสนุนการขับขี่อย่างปลอดภัยบนท้องถนน ซึ่งเป็นความพยายามที่จะลดปริมาณการจราจรและความแออัดด้านสิ่งแวดล้อมในพื้นที่เขตเมือง โดยการใช้ยานพาหนะร่วมกัน รวมถึงการพัฒนาเทคโนโลยีที่ลำสมัยอื่นๆ อีกด้วย
สำหรับ Grab นั้น เป็นแอพพลิเคชั่นสำหรับเรียกรถโดยสารเช่นเดียวกับ Uber โดยมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในประเทศสิงคโปร์ ให้บริการรถโดยสาร ทั้งจักรยานยนต์และรถยนต์ขับเคลื่อน 4 ล้อ ใน 34 เมืองของ 6 ประเทศ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยจำนวนผู้ขับรถกว่า 500,000 ราย ซึ่งทางบริษัทได้ระบุว่าปัจจุบันได้มีมูลค่าเกิน 3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยได้รับการสนับสนุนเงินทุนมหาศาลจากนักลงทุนรายใหญ่สัญชาติญี่ปุ่นอย่าง Softbank เป็นจำนวนเงินสูงถึง 750 ล้านเหรียญฯ ใน series F และ 250 ล้านเหรียญฯ ใน series D เมื่อเดือนเมษายนปีก่อน
"เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ Honda ได้จับมือลงทุนกับเราในครั้งนี้ ในฐานะที่เป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นและหุ้นส่วนคนสำคัญ ในการพัฒนานวัตกรรมสำหรับการขนส่งผู้โดยสารในระยะยาว" Ming Maa ประธานบริษัท Grab กล่าว
อนาคตของระบบขับขี่อัตโนมัติ (Self-driving)
จากเม็ดเงินลงทุนดังกล่าว ได้แสดงให้เห็นว่าผู้ผลิตรถยนต์นั้นต่างกำลังเร่งพัฒนาระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI: Artificial Intelligence) รวมถึงหุ่นยนต์สำหรับขับขี่ยานพาหนะแบบอัตโนมัติ ซึ่งในเดือนตุลาคมที่ผ่านมานี้เอง ทาง Honda ได้เปิดตัวศูนย์วิจัยแห่งใหม่ เพื่อเป็นศูนย์กลางในการวิจัยและพัฒนา AI โดยเฉพาะ รวมถึงในเดือนพฤษภาคม Uber ก็ได้จับมือกับ Toyota เพื่อเร่งพัฒนาระบบขับขี่อัตโนมัติเช่นเดียวกัน
ก่อนหน้านี้เอง ก็มีผู้ผลิตรถยนต์และแอพพลิเคชั่นเรียกรถโดยสารหลายเจ้า ได้จับมือกันโดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาระบบขับขี่อัตโนมัติ ไม่ว่าจะเป็น GM (General Motor) ที่เข้าซื้อ Lyft ในขณะที่ Volkswagen ได้ทำข้อตกลงกับ Gett (ทั้งสองแอพนี้เป็นคู่แข่งของ Uber) ส่วน Bill Ford ซึ่งเป็นผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท Ford (บริษัทให้เงินทุนสำหรับธุรกิจสตาร์ทอัพ) ก็ได้ลงทุนใน NuTonomy ซึ่งเป็นบริการแท็กซี่ไร้คนขับ ซึ่งได้เปิดตัวในประเทศสิงคโปร์ช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา
เรียกได้ว่าอนาคตของระบบรถยนต์ไร้คนขับอาจมาให้เราได้ใช้ในเร็ววันนี้ เมื่อพิจารณาจากการลงทุนในการทำวิจัยและพัฒนาระบบดังกล่าวโดยเฉพาะ แม้ในวันนี้อาจจะยังไม่สมบูรณ์นัก แต่ก็มีแนวโน้มที่จะเป็นจริงได้มากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งอาจทำให้ผู้โดยสารได้รับความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น แต่ในทางกลับกันก็อาจทำให้คนจำนวนไม่น้อยต้องตกงาน ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องชั่งน้ำหนักให้ดีว่าการเข้ามาของระบบขับขี่อัตโนมัตินั้นจะทำให้ใครได้หรือเสียประโยชน์มากกว่ากัน