แม้จะมีความกังวลในหลายๆ ด้าน เกี่ยวกับการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งเป็นผลจากนิยายอิงวิทยาศาสตร์หลายๆ เรื่องที่ชอบหยิบยกประเด็นในเรื่องของการพัฒนา AI นี้ว่า อาจเป็นความหายนะของมวลมนุษยชาติ ซึ่ง AI นั้นอาจมีความเฉลียวฉลาดกว่าสิ่งมีชีวิตตามธรรมชาติ และโลกอาจล่มสลายได้เมื่อเครื่องจักรกลอยู่เหนือการควบคุมของมนุษย์
แต่ในความเป็นจริงแล้วดูเหมือนว่า AI นั้นไม่ได้จะเข้ามาทำลายอารยธรรมมนุษย์ หรือแย่งงานมนุษย์ไปทำเองทั้งหมด แต่กลายเป็นว่า AI นั้นมีโอกาสที่จะช่วยให้เราสามารถทำงานได้ดียิ่งขึ้น ลองนึกภาพตาม ความคิดที่ว่า AI นั้นจะช่วยให้เราสามารถทำงานได้ชาญฉลาดมากยิ่งขึ้นนั้นดูจะสมเหตุสมผลมากกว่าการที่ AI คิดที่จะครองโลกเสียอีก ถึงแม้ว่าวิศวกรซอฟต์แวร์ใน Silicon Valley ทุกคนนั้นพยายามที่จะสร้างอัลกอริทึมที่สมบูรณ์แบบเพื่อเข้ามาทำงานแทนที่มนุษย์ แต่หลายคนก็พยายามหาหนทางในการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของมนุษย์ให้ดีขึ้น ด้วยการใช้ประโยชน์จาก AI รวมเข้ากับความสามารถของคนทำงานเข้าด้วยกันนั่นเอง
AI ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของมนุษย์
นาย Paul Daugherty, CTO ของบริษัท Accenture ได้แชร์มุมมองของเขาที่มีต่อ AI ว่า AI นั้นจะเข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของมนุษย์มากกว่าจะเข้ามาแทนที่ไปทั้งหมด และยังช่วยผลักดันการเติบโตทางเศรษฐกิจได้ทั้งกระบวนการอีกด้วย แม้ว่านิยายวิทยาศาสตร์จะเล่าเรื่องให้ดูน่ากลัวก็ตาม แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่บริษัทให้ความสำคัญเมื่อเทคโนโลยี AI มาถึง
"เป้าหมายในการพัฒนา AI ของเรานั้นไม่ใช่เพื่อสร้างยอดมนุษย์ แต่เรากำลังทำให้มนุษย์เข้าใกล้ความสุดยอดเข้าไปอีกหนึ่งก้าวต่างหาก" แม้ว่าประโยคข้างต้นนั้นจะดูเหมือนเป็นสโลแกนในการทำการตลาดก็ตาม แต่เขาก็ยืนกรานว่า Accentue นั้นให้ความสำคัญไปที่การนำ AI เข้ามาใช้แก้ไขปัญหาที่แท้จริงของธุรกิจ โดยการค้นหาวิธีที่ง่ายเพื่อลดความซับซ้อนของปัญหาลง
ที่สุดแล้วนั้น Accenture นั้นได้มองไปที่วิธีการแก้ปัญหาโดยใช้ AI ที่สามารถจับต้องได้ 3 ประการ ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงกระบวนการต่างๆ ในการดำเนินธุรกิจให้มีความเฉลียวฉลาดเพิ่มมากขึ้น, สามารถหาวิธีที่มีประสิทธิภาพสำหรับมนุษย์ในการมีปฏิสัมพันธ์กับเครื่องจักร เพื่อใช้ประโยชน์ได้สูงสุดจากความสามารถในการประมวลผลของเครื่อง และสุดท้ายก็คือ ต้องการช่วยให้ข้อมูลไร้โครงสร้างนั้นปรากฏขึ้นมา ซึ่งก็คือปัญหาที่ธุรกิจนั้นๆ ไม่สามารถแก้ได้นั่นเอง
AI ช่วยสร้างพนักงานขายที่เก่งกว่าเดิม
เมื่อมองไปที่การทำงานของ AI นั้น สิ่งหนึ่งที่เรามองเห็นได้ชัดเจนสำหรับปีนี้ก็คือ การนำ AI มาใช้ในเครื่องมือการขายของ Saleforce, Oracle, SugarCRM, Base และอื่นๆ ซึ่งปัญหามีอยู่ว่าทีมขายนั้นไม่สามารถที่จะติดตามปัจจัยทั้งหมดที่ส่งผลกระทบต่อยอดขายได้ นั่นคือเหตุผลว่าทำไม AI ถึงสามารถเข้ามาแก้ปัญหาเหล่านี้ได้นั่นเอง
เพราะแม้ว่าพนักงานขายที่ดีนั้นจะมีความสามารถเฉพาะตัวในการที่จะสื่อสารกับลูกค้า รวมถึงรู้วิธีในการกระตุ้นลูกค้าเพื่อที่จะนำไปสู่การปิดการขาย แต่สิ่งที่พวกเขามักจะขาดก็คือ การไม่เข้าใจปัญหาที่แท้จริงว่าอะไรคือปัจจัยด้านลบที่อาจส่งผลกระทบต่อการขายได้นั่นเอง ซึ่ง AI ตอบโจทย์ดังกล่าว โดยการให้ข้อมูลเกี่ยวกับข้อเสนอในปัจจุบันที่สัมพันธ์กับข้อเสนออื่นๆ, มีข่าวอะไรเกิดขึ้นบ้างที่อาจส่งผลกระทบกับข้อเสนอนั้นๆ, ลักษณะของข้อเสนอในอีเมลล่าสุด และอื่นๆ ซึ่งเครื่องจักรและซอฟต์แวร์ CRM ที่ดีนั้นสามารถจัดการข้อมูลต่างๆ เหล่านี้, ให้ข้อมูลเชิงลึกกับทีมขาย และทำให้มนุษย์นั้นแก้ปัญหาเฉพาะการมีปฏิสัมพันธ์ที่จำเป็นในการปิดการขายเพียงอย่างเดียวแทน
AI จะยังคงอยู่ต่อไป
ไม่ว่าคุณจะรู้สึกอย่างไรกับ AI ก็ตาม ถ้า AI นั้นจะถูกสร้างขึ้นในซอฟต์แวร์ส่วนใหญ่เพื่อการพัฒนาต่อไป ซึ่งมันเป็นเพียงวิวัฒนาการของซอฟต์แวร์ตามธรรมชาติเท่านั้น ซึ่งถ้าคุณสามารถพัฒนาซอฟต์แวรได้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม ทำไมคุณจะไม่ทำมันล่ะ? ซึ่ง Daugherty เชื่อว่า ด้วยการเข้ามาของ AI นี้ จะทำให้เราได้เห็นการยอมรับอย่างรวดเร็วยิ่งกว่าการเข้ามาของ Cloud Computing เสียอีก
ถึงแม้ว่า AI นั้นจะเข้ามาช่วยเสริมการทำงานของมนุษย์ให้ดียิ่งขึ้นก็ตาม แต่สิ่งสำคัญก็คือผู้ทำงานนั้นจะสามารถปรับตัวและเรียนรู้เพื่อใช้งานเทคโนโลยีดังกล่าวได้หรือไม่ เพราะถึง AI จะเข้ามาช่วยงานมนุษย์ได้ก็จริง แต่หากมนุษย์ผู้ใช้นั้นไม่สามารถใช้งานได้เป็น การพัฒนา AI ขึ้นมานั้นก็คงเป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์เช่นเดียวกัน