[Event] Freelance ... ยังไง? ตอน : รับงานฝิ่นต่างแดนยังไงให้แจ่มว้าว (Part II)
กลับมาตามสัญญา! กับบทสรุปของงาน "Freelance ... ยังไง? ตอน รับงานฝิ่นต่างแดนยังไงให้แจ่มว้าว" ใน Session Q&A ซึ่งใน Part ที่แล้วแอดมินได้นำเสนอไปในส่วนของ Session เสวนา สำหรับในบทความนี้ ก็จะเป็นการเก็บตกประเด็นต่างๆ หลังจากที่ได้พูดคุยกับพี่ buatoom แล้ว โดยเป็นคำถามจากเพื่อนๆ ที่มาเข้าร่วมงานเสวนา จะดุเด็ดเผ็ดมันแค่ไหน ลองเข้ามาอ่านกันได้เลยครับ :)
Note : สำหรับเพื่อนๆ ที่อ่านบทความนี้จบแล้ว หากสนใจ อยากเริ่มต้นทำงานในสายฟรีแลนซ์ หรือต้องการหาฟรีแลนซ์ไปร่วมงานด้วย ก็สามารถลงทะเบียนในเว็บไซต์และลองใช้บริการได้เลย นอกจากนี้เรายังมีระบบ Challenge ให้เพื่อนๆ ได้ลองเล่นกัน โดยสามารถเข้าไปศึกษาข้อมูลได้จาก ที่นี่ เลยครับ
เริ่ม Session : Q&A
Q : เรามีลูกค้าต่างประเทศเจ้าแรก เขาก็ถามเราว่าเรทที่เมืองไทยคิดชั่วโมงละเท่าไหร่ เราก็บอกไปแล้วก็จ่ายตามนั้น แต่ไปรู้ทีหลังว่าคนอื่นที่ทำงานเหมือนเราแต่อยู่ประเทศเขา เขาจ่ายให้ในราคา 2 เท่าของเรา แบบนี้จะมีวิธีคุยยังไง
A : อันดับแรกคือเรามีโปรไฟล์รึเปล่า ง่ายๆ คือเราดังรึยัง คือพอเวลาที่ไม่ดังเนี่ยมันจะทำอะไรยากนิดนึง มันเหมือนกับว่าเรายังไม่ได้สะสมพลัง อะไรแบบนั้น แต่จริงๆ มันไม่ถูกต้องนะ การที่เขาจะมาคิดเป็นเรทที่อยู่ในประเทศเรา อย่างผมเองก็คิดเรทแบบประมาณฝรั่งที่ไม่เก่งคิด เพราะว่ามันมีเรื่อง lost ในหลายๆ เรื่อง เช่น เรื่องภาษา หรืออย่างเราไม่สามารถไปประชุมกับเขาได้ เราก็เลย drop ราคาลงมาหน่อยนึง ก็แฟร์ๆ กันไป แต่ว่าถ้าให้เขาคิดเป็นเรทไทยมาเลย แน่นอนว่ามันไม่แฟร์
ทีนี้จะดีลยังไง ก็คงต้องดังประมาณหนึ่ง คือถ้าเราเป็น nobody เขาก็จะ treat เราเป็นแบบ nobody แต่ถ้าสมมติเราสามารถทำงานได้ถึงระดับของเขา แล้วเรามีชื่อด้วย ถึงตอนนั้นเขาจะมาจ่ายเราด้วยเรทแบบไทยก็ไม่ได้ละ
Q : ปกติเวลาคุยกับลูกค้า ลูกค้าก็จะคุยแต่เรื่องงาน แต่พอเรื่องเงินเนี่ย เราจะ approach เขายังไง
A : ก็คุยก่อนเลย คือเราเกิดมาพร้อมความอ่อนแอ แต่เราต้องสร้างระบบขึ้นมา แล้วก็พูดให้มันเป็นธรรมชาติซะ สุดท้ายมันจะเป็นธรรมชาติของเรา แล้วอย่างการเก็บมัดจำ มันทำให้เขารู้ว่าเขาต้องเริ่มจ่ายแล้ว พอก้อนที่ 2 เขาจะจ่ายง่าย สมมติคุยกันว่าจ่ายมัดจำจบ เราเริ่มทำงานให้ พอเริ่มเห็นงานเป็นรูปเป็นร่างแล้วปุ๊บ อีกหนึ่งก้อน พอถึงตอนนั้นเขาจะรู้หน้าที่ละว่าเขาต้องจ่าย แต่ถ้าเราไม่ทำก้อนแรก ก้อนนี้จะอิดออด
Q : ให้เขาจ่ายมัดจำก่อนหรือว่าเสนอ Timeline ก่อน แล้วถ้าเขาอิดออดไม่ยอมจ่ายสักที เราจะต้องคุยยังไง
A : เสนอ Timeline ของเราไปก่อนแล้วค่อยจ่ายมัดจำ ถ้าเขาอิออดยังไม่ยอมจ่าย ก็อาจจะบอกเขาไปว่า ถ้าเป็นแบบนั้นงานก็จะช้านะ หรือไม่ทำต่อแล้วนะ อย่างที่ได้บอกไปคือถ้ามัดจำก้อนแรกไม่จ่าย ก็น่าจะไม่เวิร์กละงานนี้ น่าจะดีลยาก
Q : คิดเรทยังไง แล้วเอาอะไรเป็นมาตรฐาน
A : ผมคิดชั่วโมงละ 90 เหรียญ ไม่รู้ว่าคิดถูกหรือแพงนะ แต่ปกติฝรั่งที่เขาเก่งจะประมาณเกือบๆ 200 แล้วแต่คน คือถ้าเทียบกับเรทไทยก็ถือว่าแพง ส่วนเวลาตั้งเรท เราก็เทียบกับฝรั่งเลย แล้วก็คิดว่าเป็นเรทที่เขาน่าจะจ่ายได้ โดยที่เรายังเป็นเราอยู่ คือถ้าสมมติเราลองคิดดูว่า สมมติเราคิดชั่วโมงละ 90 เหรียญ วันนึงเราทำ 8 ชั่วโมง ก็สามหมื่นกว่าบาทละนะ
Q : ศึกษามาจากไหนว่าทางต่างประเทศเขามีการตั้งเรทแบบไหน เช่น ยังไม่ดังมาก ราคาเท่านี้
A : ผมมีเพื่อนเป็นดีไซน์เนอร์ทำงานอยู่ต่างประเทศ พอคุยกันก็พอจะรู้เรท แล้วก็เวลาเขาจ้างงาน ต้องการดีไซน์เนอร์เรทประมาณนี้ ก็เข้าไปสืบๆ ดูได้เหมือนกัน
Q : ช่วงที่พี่ทำงานประจำอยู่ แล้วก็รับงานฟรีแลนซ์ไปด้วย มีวิธีการในการจัดสรรเวลา หรือประเมินเวลาในการทำงานยังไง
A : ถ้าสำหรับงานประจำ จบคือจบ ผมไม่ทำให้แล้ว คือก่อนหน้านี้ผมทำงานประจำ 3 วัน ก็จะมีเวลาว่างเหลืออยู่อีก 4 วัน ผมเอาแค่ 2 วันมาทำงาน อีก 2 วันผมไม่ทำอะไรเลย คือการจัดสรรความว่างในชีวิตมันสำคัญนะ ต้องให้โอกาสตัวเองไปทำอย่างอื่นด้วย 2 วันเราใส่เต็ม แต่ถึงเวลาหยุดก็ต้องหยุด ขีดเส้นให้ตัวเองตลอดว่าต้องทำอะไรบ้าง
Q : ถ้าเป็นงานประเภทเดียวกัน แต่ลูกค้าคนละแบบ เช่น ลูกค้าที่เป็นบริษัทใหญ่ กับลูกค้าที่เป็นบริษัทเล็กๆ เราจะมีวิธีในการคิดราคายังไง
A : ถ้าทำเป็น Hourly Rate เราจะไม่แบ่งแยกว่าใครเป็นใคร คือไม่ว่าใครจะเข้ามาเราก็คิดเรทเดียวกันหมด แล้วก็ใส่เต็มเท่ากันหมดด้วย ทุกงานสำคัญเท่ากัน งานภายใต้ชื่อเราต้องเป็นมาตรฐานของเรา แต่ว่าความยืดเยื้ออาจจะเป็นปัจจัยที่ทำให้เราได้เงินมากหรือน้อย
Q : สำหรับลูกค้าคนไทย คิดค่าจ้างเป็นแบบไหน Project Rate หรือ Hourly Rate แล้วคิดเรทแบบคนไทย หรือเรทแบบชาวต่างชาติ
A : คิดแบบ Hourly Rate แล้วก็คิดเป็นเรทแบบ worldwide ด้วย คือนั่นแปลว่าเขาต้องการมาตรฐานแบบ worldwide เขาถึงมาเลือกเรา ถ้าเขาไม่เลือกเรา เราก็ไม่เป็นไรอยู่แล้ว คือมันเป็นวิธีการประเมินราคาที่ง่ายที่สุด เขาจะได้รู้ว่าเขาต้องเสียเวลารอเรานานขนาดไหน เราเองก็ชัดด้วยว่าเราควรได้แค่ไหน
Q : มีประสบการณ์ครั้งไหนที่แบบ จี๊ด ที่สุดบ้างมั้ย แบบว่าพลาดจริงๆ
A : มีนะ ตอนนั้นร้องไห้เลย ฟ้องพ่อด้วย แบบ พ่อโทรไปด่าลูกค้าให้ด้วย 5555555555 มันเจ็บ แต่มันสอนเรานะ อย่างที่ผมบอก เราเกิดมาพร้อมความอ่อนแอ ตอนนั้นเขาให้ทำแอนิเมชั่น ผมก็ทำให้เขา ไม่เก็บเงินสักก้อนด้วย น่ารักป้ะ 55555555555 จนแบบงานเสร็จแล้วแม่งเอาไปใช้แล้วก็ยังไม่ได้เงิน ผมก็โทรตาม ... เงินตูล่ะๆๆ อะไรแบบนี้ เขาก็มาแปลกมากเลยนะ เขาก็พูดแบบ คุณลงทุนอะไร มีคอมพิวเตอร์เครื่องเดียว อะไรแบบนี้ เราก็แบบ เฮ้ย มึงร้ายกับกูขนาดนี้เลยหรอวะเนี่ย แล้วก็ร้องไห้เลย ก็แบบเสียใจอะ แต่คือสุดท้ายก็ได้เงินนะ
Q : ถ้าเป็นลูกค้าที่เราไม่รู้จักเลย เราจะรู้ได้ยังไงว่าคนที่มาจ้างเราน่าเชื่อถือ จะจ่ายเงินให้เราจริง
A : จริงๆ ลูกค้าเองก็มีโปรไฟล์นะ แต่ว่าเราก็ต้องพึ่งระบบ ต้องจ่ายเงินเป็นก้อนๆ การพูดคุยกันจะทำให้เราพอรู้ในระดับหนึ่ง
Q : ปกติคำว่า UI (User Interface) มันจะมาคู่กับ UX (User Experience) อยากรู้ว่าเวลารับงานพี่รู้เรื่อง UX ด้วยรึเปล่า
A : ผมค่อนข้างจะรู้สึกว่ามีคนจำนวนหนึ่งเข้าใจผิดว่า UI กับ UX มันผูกกันจนแบบว่า คนที่ทำ UI ต้องเป็น UX นะ ซึ่งทุกทางมันมี Specialist อย่างตอนที่ทำที่ Omise พวกเรางมกันเอง เป็น Dev เป็น Designer ช่วยกันงม มันก็ได้ประมาณหนึ่ง ทีนี้ตอนหลังได้พี่แบงค์ UX Academy มาร่วมงานด้วย พวกเราก็แบบ เหยดดดดดดดดดดดดด คือเรารู้สึกเลยว่าเราทำอะไรกันอยู่ตั้งหลายปี พอมีเขาเข้ามาแล้วทุกอย่างมัน solve เขาดีไซน์ User Experience ให้เราได้ จริงๆ ก็คือจากคำถามนี้ผมคิดว่าไม่จำเป็นที่เราจะต้องรู้ลึกขนาดนั้น แต่ต้องรู้แน่นอน เราต้องเข้าใจมันระดับหนึ่ง แล้วก็ต้องลงไปแตะถึงระดับ Develop ด้วย เพราะเราอยู่ตรงกลางระหว่างสองอย่างนี้
Q : อยากให้แชร์ประสบการณ์ตอนที่เป็น nobody จนพัฒนามาเป็นพี่บัวตูมในปัจจุบัน
A : ผมทำงานเยอะมาก ผมเชื่อว่าผมทำงานเยอะกว่าคนที่ทำงานทั่วไป ผมว่าผมบ้าแล้วก็โคตรรักมันเลย แล้วก็ไม่ได้ทำแค่ GUI อย่างเดียวด้วย ผมทำ Character Design คือถ้าเป็นงานทางด้าน Graphic Design ผมทำหมด แต่ถ้าไปทาง Fine Art ผมทำไม่ได้ คนมักจะมองว่าเราบ้ารึเปล่า ทำทำไม แบบพวก Personal Project เช่น อยู่ดีๆ ก็เขียนไอคอนมาแจกฟรี หรืออยู่ดีๆ ก็ทำ GUI อะไรสักอย่างมาแจกฟรี ความจริงพวกนี้มันโคตรแห่งเงิน มันคือทางที่เราควรจะไป นั่นคือตัวตนของคุณ การที่เราสร้างโจทย์เอง สร้างงานเอง มันจะเป็นเรามากๆ ผมทำแบบนี้ตลอด ทุกวันนี้ก็ยังทำ ว่างปุ๊บก็ทำ Personal Project คือมันสนุกอะ แล้วสุดท้ายเวลาผมอยากได้งานทำไอคอน พอผม Publish มันออกไป สุดท้ายก็มีคนมาจ้าง อย่าง Adobe งี้ก็มาซื้อลิขสิทธิ์ของผมไป เราก็รู้สึกสนุกด้วย ได้ตังค์ด้วย นั่นแหละคือการสร้างโปรไฟล์ของเรา หรือแม้แต่การรับงานที่อาจจะค่าจ้างถูก แต่มันก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราเป็นที่รู้จักมากขึ้น มันก็คุ้มนะ
Q : เรื่องของสไตล์ มันเป็นอะไรที่เปลี่ยนเรื่อยๆ อยากรู้ว่าสไตล์ของพี่มันเปลี่ยนไปตามเทรนด์ของการออกแบบรึเปล่า แล้วคนไม่ตามเทรนด์อยู่ได้รึเปล่า
A : คนไม่ตามเทรนด์อยู่ได้มั้ย ... ผมเกลียด Flat Design มากช่วงแรกๆ ตอนที่ Apple เองโดดลงมาด้วยนี่ผมงงมากเลยนะ เพราะถ้าสังเกตงานของผมนี่จะเต็มไปด้วยเงา แต่ความจริงพอเราอยู่กับมันไปสักพักนึง เฮ้ยเราก็อยู่ได้นะ คือมันไม่ใช่แบบที่เราคิดเหมือนกัน คือมันมีคนกลุ่มนึงที่มีพลังมากพอ มันก็เป็น Trend Setter ได้ ซึ่งเราอาจจะไม่ใช่ อาจจะเป็น Google, Apple เราก็ต้องตามเขา คนที่ยอมเปลี่ยนเลยอยู่ได้มั้ย คิดว่าอยู่ไม่ได้ แต่มันอะลุ้มอล่วยได้นะ มันมีตรงกลางเสมอ อย่างเช่นผมทำงานตอนนี้ ผมทำงาน Flat นะ แต่เราก็ยังแอบใส่อะไรที่เป็นตัวเราลงไปได้ มันมีที่ยืนของความเป็นตัวเราอยู่ คืออาจจะต้องยอมมาตรงกลางนิดนึง
Q : ในมุมมองของพี่ คำว่า Copy กับ Inspiration มันต่างกันยังไง
A : คือคนจะมองว่าการ Copy มันแย่ แต่จริงๆ แล้วมันดีมากนะ ถ้าในเชิงของการ Learning การ Copy มันเป็นทางลัดสู่การเรียนรู้ ไปลอกงานคนนั้นคนนี้ สุดท้ายพอเราลอกไปลอกมา เราก็จะตกผลึกในแบบที่เป็นตัวเราอยู่ดี ทีนี้ระหว่าง Copy กับ Inspiration เวลาผมทำงานผมก็กลัวเรื่องนี้เหมือนกันนะ คือเราไม่ได้อยู่ในจุดที่ Learning แล้ว ผมกลัวว่าผมจะไปติดตาอะไรอย่างหนึ่ง ซึ่งแน่นอนว่าสมมติว่าผมจะทำแอพเครื่องดื่มอะไรแบบนี้ ผมก็จะไป review ว่าของคนอื่นทำอะไรยังไงบ้าง ผมก็จะไล่ดูให้หมด ทีนี้พอใกล้จะถึงเวลาทำงาน ผมจะทิ้งมันไปให้หมด คือผมไม่เอามันมาเทียบ ไม่เอามาใช้ในตอนที่ดีไซน์เลย ตกผลึกมันซะแล้วทิ้งมันเลย แล้วก็ทำงาน อีกอย่างคือของใหม่มันไม่มีในโลกแล้ว เราใช้เวลาในการคิดค้นอะไรมามากกว่า 2,000 ปี ของใหม่คือการเอาของเก่ามาผสมกันได้ของใหม่ เพราะฉะนั้นอย่าไปถึงขั้นจิตตกว่าเราลอกแน่นอน บางทีมันก็คือการหยิบเอาความคิดนั้นนี้มาผสมกันจนได้ออกมาเป็นแบบนี้
Q : อยากทราบทัศนคติเกี่ยวกับเรื่องของดีไซน์สวยแต่ใช้ไม่ได้
A : มันมีหลายจุดประสงค์นะ อย่าง Fashion Design นี่ใช้ได้จริงรึเปล่า หมวกปีกใหญ่เท่าบ้าน ลองเดินเข้าไปใน BTS หมวกคงหลุดตั้งแต่ยังไม่ได้เดินเข้าไปถูกมะ ใช้ไม่ได้จริง แต่มันให้อะไร ให้แรงบันดาลใจ มันให้แนวทางในการไปต่อของดีไซน์สมัยใหม่ ทีนี้จากคำถามมันก็ต้องดูที่จุดประสงค์ว่าเราเอาไปใช้ทำอะไร สมมติ่ว่าทำเว็บไซต์จ่ายภาษี แต่มันหวือหวามาก หาปุ่มกดไม่เจอ มันก็ไม่เวิร์ก แต่ถ้าคุณทำอะไรบางอย่างเพื่อสร้างแรงบันดาลใจหรืออะไรสักอย่าง มันก็จะเป็นอีกแบบนึง
และนี่ก็คือสรุปเนื้อหาทั้งหมดที่ได้จากงาน "Freelance ... ยังไง? ตอน รับงานฝิ่นต่างแดนยังไงให้แจ่มว้าว" บอกเลยว่าเนื้อหาเนื้อๆ เน้นๆ เค้นจากประสบการณ์ของพี่บัวตูมโดยตรงเลย สำหรับเนื้อหาในช่วง Session เสวนา หากเพื่อนๆ คนไหนยังไม่ได้อ่าน ก็สามารถติดตามได้ที่ https://www.freelancebay.com/article/46 แอดมินได้ทำสรุปเอาไว้ให้แล้วเรียบร้อยครับ :)