มันจะดีมั้ยนะถ้าสักครั้งหนึ่งที่ ... ฟรีแลนซ์อย่างเราจะได้มีโอกาสร่วมงานกับลูกค้าชาวต่างชาติ! มันคงดีถ้าเราได้ท้าทายตัวเองด้วยงานที่สนุกมากขึ้น ได้ฝึกภาษา แถมด้วยผลตอบแทนที่แสนจะยั่วยวนใจ แต่ทีนี้จะมั่นใจได้ยังไงว่าทั้งหมดนี้เราไม่ได้คิดไปเอง?
อีกครั้งกับอีเว้นท์ "Freelance ... ยังไง?" ที่จัดขึ้นในวันที่ 4 มีนาคม ที่ผ่านมาที่ Hubba Co-working Space โดยในครั้งนี้ได้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 4 แล้ว ในชื่อตอน "รับงานฝิ่นต่างแดนยังไงให้แจ่มว้าว" (แค่ชื่อก็น่าสนใจแล้วใช่มั้ยล่ะ) สำหรับครั้งนี้ทาง Hubba ได้เชิญพี่บัวตูม เจ้าของเว็บไซต์ https://buatoom.com/ และผู้ก่อตั้ง Craft Fig. (คราฟฟิก) กราฟิกสคูล นักออกแบบ Graphic User Interface ผู้มีประสบการณ์โชกโชนมามากว่า 10 ปี มาเป็นวิทยากรรับเชิญในงาน เนื้อหาจะเข้มข้นแค่ไหนไปอ่านกันเลย
Note
สำหรับบทความนี้ผู้เขียนขออนุญาตแบ่งเป็น 2 ตอน โดยจะแบ่งเป็นช่วง Session เสวนาของผู้ดำเนินรายการ และ Session ถาม-ตอบระหว่างพี่บัวตูมกับผู้เข้าร่วมงาน สำหรับตอนนี้เป็นสรุปช่วง Session เสวนาครับ
นอกจากนี้แอดมินยังเคยได้เข้าร่วมอีเว้นท์นี้มาแล้วในครั้งก่อน ในชื่อตอน “ภาษี ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย” และได้เขียนสรุปไว้แล้ว หากเพื่อนๆ ท่านใดสนใจ สามารถอ่านย้อนหลังได้ที่นี่เลยครับ
ทำความรู้จักกันก่อน
ตอนที่ตัดสินใจลาออกจากกงานประจำมาทำงานฟรีแลนซ์นี่คิดนานมั้ย? ไม่กลัวหรอว่าลาออกมาแล้วเงินเดือนเราจะไม่มีแล้ว?
อันนี้ผมชอบตัวเองอยู่หน่อยนึ่ง คือผมค่อนข้างเป็นคนที่ไม่ค่อยกลัว จริงๆ มันดีนะ แต่มันก็แย่ด้วย 555 แล้วปกติมันต้องวางแผนกันอย่างเช่น ต้องทำอะไรให้มันชัวร์ก่อนแล้วค่อยออก แต่ผมไม่
จุดเด่นของงานของพี่ buatoom คืออะไร?
ถ้าถามว่าเอกลักษณ์ของงานผมเป็นยังไง ส่วนตัวผมเป็นคนทำงานช้า ช้ามาก แล้วก็ขี้ลังเล เช่นแบบ ขยับเงา 4 pixel แล้วก็มอง ... แล้วก็ไปขยับ 5 pixel แล้วก็กลับมาที่ 4 pixel ใหม่ แล้วก็ทำแบบนี้สลับไปสลับมาอย่างนี้เป็น 10 รอบ คือเป็นคนบ้าดีเทล คือเป็นเรื่องดี แต่ข้อเสียคือมันจะช้า ต้องทำงานให้เยอะ พอทำงานเยอะแล้วมันจะเชี่ยวเรื่องความเรื่องมากของตัวเอง เราจะพอเข้าใจตัวเอง หลังจากนั้นจะทำให้เราทำงานได้เร็วขึ้น
ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นคนกลุ่มไหน แล้วเจอพี่จากที่ไหน?
ก็มีทั้ง Developer ด้วย แล้วก็เจ้าของ Business เองก็มี ส่วนใหญ่จะเป็นคนทำ Start-Up อะไรประมาณนี้ ส่วนเรื่องเจอจากที่ไหน ผมใช้ 2 เว็บนี้คือ dribbble กับ Behance เป็น Social Media ของคนทำ GUI คือเราต้องทำยังไงก็ได้ให้ผลงานของเราออกไปสู่ตลาดโลก ให้มันมีคนเห็น คือสิ่งที่ต้องทำ
เข้าสู่ช่วงเสวนา : รับงานฝิ่นต่างแดนยังไงให้แจ่มว้าว
งานแรก/โปรเจคแรกที่ได้มีโอกาสทำกับลูกค้าชาวต่างชาติคืองานอะไร แล้วเป็นยังไง?
เอาจริงๆ คือจำงานแรกไม่ได้ (ถถถถถถถถถ) เอาเป็นงานแรกๆ ก็แล้วกัน คือติดใจ เป็นงานทำ App ให้กับธนาคารที่รัสเซีย เพราะมันเป็นงานใหญ่ของเรา เงินเยอะ แล้วก็ลูกค้าค่อนข้างโอเค รักเรา แล้วก็ให้อิสระเราพอสมควร ตัวเนื้องานเองก็ไม่เยอะ เพราะปกติผมจะชอบทำอย่างนี้คือ เวลาผมได้ Scope งานมาใหญ่มากๆ ถ้าเราทำทั้งหมดมันจะกินพลังงาน ผมก็จะบอกลูกค้าว่าเอาอย่างนี้มั้ย? คัดหน้าที่มันยากที่สุด หน้าที่มันมี Elements ทุกอย่าง แล้วก็ให้เขาเห็น Spacing เห็นแนวทางทั้งหมด ให้เหมือนกับว่า Elements ทั้งหมดเราเขียนไว้แล้ว ที่เหลือก็คือเขาไปปั๊มใส่หน้าอื่นๆ แทนที่จะทำ 60 หน้า เหลือสัก 10 หน้ามั้ย คัดหน้าหินๆ มาก็แล้วกัน เราได้จบงานใน 1 เดือน เขาได้ราคาถูก ซึ่งก็ไม่เป็นไร ทำงานเอามันไว้ก่อน เดี๋ยวเงินตามมาเอง แล้วก็มีเวลาไปทำงานอย่างอื่น มีแรงเก็บไว้ไปสนุกกับโปรเจคหน้า
แล้วเขามายังไงลูกค้าเจ้านี้?
เหมือนเดิมเลย ได้มาจาก dribbble เล่นมาประมาณ 4 - 5 ปีละ ก่อนหน้านี้ผมจะเล่นเว็บที่มีการแข่งขันกัน ใครชนะได้โปรเจค (99designs) ก็จะเป็นการแข่งจริง มีโจทย์จริงให้เราทำ แค่นั้นก็พอสำหรับผมแล้ว คืออยู่ดีๆ ก็มีคนเอาโจทย์มาให้ทำ มี Wireframe มาให้ ถ้าเป็นพวกโลโก้ก็จะมีแนวคิดมาให้ มี base ของบริษัทเขา เราก็เข้าไปเล่น ชนะบ้างไม่ชนะบ้างก็ไม่เป็นไร คือด้วยความที่เขามีตัวเลือกเยอะ เขาก็ไม่จำเป็นต้องเอาเรา แต่ก็ดีที่เราได้ฝึก แล้วถ้าฟลุ๊คเราก็ได้ตังค์
เรื่องภาษาเป็นปัญหามั้ย
ภาษาสำคัญ แต่ว่าเอาจริงๆ แล้วคือมันไม่ถึงขั้นที่ว่าคุย Skype กับเราทุกคน ไม่ได้ Video Call กับเราทุกคน ส่วนใหญ่ก็จะส่งเมลมา เพราะฉะนั้นเมลจะง่ายตรงที่ว่าเรามีเวลาเตรียมตัว ค่อยๆ เขียน ค่อยๆ ตอบได้ อีกอย่างหนึ่งก็คือเขาไม่มานั่งซีเรียสกับเราเรื่องไวยากรณ์ เขาก็แค่ถ้าคุยกันเข้าใจกันก็โอเคแล้ว
เวลาเราคิดค่าแรง ระหว่าง Hourly Rate กับ Project Rate แบบไหนดีกว่ากัน
Project Rate มันไม่ดีตรงที่เรารับผิดชอบโปรเจคแล้ว นั่นแปลว่าถ้าลูกค้าไม่ถูกใจ เราต้องแก้อีกนะ แก้ไปแก้มาบางทีขาดทุนย่อยยับ แต่ว่าเมื่อไหร่ที่เราคิดแบบ Hourly Rate เนี่ย มันจะง่ายตรงที่ลูกค้ารู้ว่าเขายิ่งแก้ก็ยิ่งแพง ส่วนเราก็จะรู้ว่าถ้ายิ่งแก้ งานก็ยิ่งไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นมันจะหาจุดตรงกลางได้ง่ายกว่า ก็คือ เขาจะได้งานถูก ส่วนเราก็จะได้งานที่เราอยากทำ คิดเป็นชั่วโมงมันง่ายและเห็นภาพ ปกติพอได้งานมาปุ๊บผมก็จะคิดก่อนเลยว่างานนี้มันควรจะกี่ชั่วโมง มันมีคำพูดน่ารักๆ อันนึงก็คือ "การมองไปนอกหน้าต่าง คือการทำงานของกวี" คือไม่ใช่แค่ตอนที่คุณจับเม้าส์ ตอนที่คุณเดินไปเดินมา มันก็เป็นการคิดงานไปด้วย เราก็ต้องรวมตรงนั้นเข้าไปด้วยเหมือนกัน แต่ถ้าแก้ก็ต้องนับชั่วโมงที่แก้ด้วยนะ ก็ต้องดู Module ที่แก้ด้วย เช่น ถ้าแก้ประมาณนี้ ก็ต้องเสียอีกประมาณ 4 ชั่วโมง
แล้วเวลาที่เรารับงานต่างชาติ มีปัญหาอะไรที่เคยเกิดขึ้นบ้างรึเปล่า เล่าให้ฟังหน่อยได้มั้ย
ตอนนี้ก็มีอันนึงนะ คือเค้าแก้เยอะ เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา แต่ว่าเราก็แก้ให้เขานะ สุดท้ายเขาก็ถามผมว่าแบบ ความเป็นอัจฉริยภาพของคุณคืออยู่ตรงไหน ซึ่งผมก็อยากจะบอกมากเลยว่าก็คุณขโมยมันไปหมดแล้วไง 5555555 นึกออกปะ คือเราแก้จนกลายเป็นงานเขาไม่ใช่งานเรา ทีนี้จะดีลยังไง ผมว่าเวลาเจอคนแบบนี้มันดีลยาก มันเป็นอะไรที่ต้องยอมฟัดกับเขาไปอะ แต่ว่าเราต้องเลือกตั้งแต่ตอนแรก เลือกคนที่รักงานเราจริงๆ แล้วเราถึงเลือกทำโปรเจคนั้น แต่โปรเจคนี้ก็คือผมพลาดไปหน่อยนึง
คำว่า "พลาด" เนี่ย พอจะเตือนได้มั้ยว่าเป็นยังไง แล้วถึงเวลาแล้วจะคุยกับลูกค้ายังไง เพื่อจะไม่ให้เกิดปัญหาแบบนี้ขึ้นอีก
ผมเริ่มเห็นเขาจุดนึงแล้วก็คือเขาเริ่มจ่ายเงินไม่ตรง แต่ว่าเราดันอยู่ต่อ แล้วก็สุดท้ายเขาก็ยอมจ่ายมานะ ซึ่งตอนนั้นผมกำลังจะโอนเงินกลับละ เพราะถ้าเมื่อไหร่มีอะไรแบบนี้เกิดขึ้นเนี่ยแปลว่ามันเริ่มจะไม่ใช่ละ แต่สุดท้ายเขาก็โอนเงินมานะ คือเรื่องเงินมันไม่ใช่ทั้งหมด แต่ว่ามันบอกได้ว่าคนๆ นั้นเขาสนใจจริงใจกับเราแค่ไหน
จากประสบการณ์ ถ้าเปรียบเทียบทำงานระหว่างลูกค้าคนไทยลูกค้าต่างชาติ แบบไหนดีกว่ากัน
เรามักจะมองว่าฝรั่งเขาดีกว่าเรา ทำงานกับฝรั่งมันต้องดีกว่าแน่ๆ เลย เอาจริงๆ คือไม่ใช่เพราะเขาก็เป็นคนเหมือนเรา เขาก็มีความขี้โกง, ตระหนี่ถี่ถ้วนเหมือนๆ กับเรานี่แหละ เขามากกว่าเราตรงที่เขาสนใจรายละเอียดมากกว่า
เคย Commit งานกับลูกค้าแล้วทำเสร็จไม่ทันบ้างมั้ย แล้วมีวิธีประเมินเวลาการทำงานยังไง
ไม่เคย ผมแคร์เรื่องนี้มาก สำหรับผม ผมไม่ยอมให้มันบิดพลิ้วจาก Timeline เพราะว่ามันเป็นการบอกเหมือนกันว่าผมก็รักคุณเหมือนกันนะ ส่วนเรื่องการประเมินเวลาทำงาน ถ้าเราทำงานเยอะพอ เรามองตัวเองออกว่าแบบ งานประมาณนี้เราจะใข้เวลาเท่าไหร่ พลาดยาก แล้วเราก็จะตีเวลาเผื่อเอาไว้ด้วยนิดๆ
อยากรู้ว่าทำ Contract ยังไงเวลาจ้างงานจากคนต่างประเทศ?
ต้องมี Sign Contract กันก่อน มีทั้งเราส่งไป มีทั้งเขาส่งมา แล้วก็ทำตามในรายละเอียด คือคุยกันก่อนให้ละเอียดที่สุด ทำ Contract อ่านให้ละเอียดแล้วค่อยเซ็น บางที 10 หน้า 20 หน้าก็มี
มีการเก็บเงินมัดจำก่อนเริ่มงานมั้ย
มี อันนี้คืออยากจะบอกเลยว่า โดยปกติ โดยเฉพาะคนสายอาร์ตเลย คือเราอ่อน Business คือเราอ่อนตั้งแต่เกิด คือถามว่ามีมั้ยคนที่ทำงานอาร์ตแล้วเขี้ยวเรื่องเงินมันก็มีนะ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นคนที่แบบ จ้า ซะมากกว่า พอมันเป็นแบบนี้ เราต้องสร้างระบบขึ้นมาในการที่ Protect เรา แล้วนี่แหละคือวิธีที่จะหาว่าใคร (ลูกค้า) ที่รักเราจริง
อย่างแรกคือ เขาต้องเข้ามาโดยที่เขารู้จักเรา รู้จักงานเรา ไม่ใช่แบบว่ามีคนแนะนำมา แบบนี้เรียกว่าไม่รู้จัก อันนั้นคือมาจาก Connection ซึ่งเป็นงานอีกแบบหนึ่ง แต่ถ้าเขาเข้ามาบอกว่า เออ งานคุณดีนะ ผมชอบงานนั้นมาก งานนี้ก็ดี บลาๆๆ อะไรแบบนี้ นั่นแปลว่าเขารู้จักเราระดับหนึ่งแล้ว เขาค่อนข้างที่จะชอบเรา เสร็จแล้วเราก็ต้องถามเขาว่าโปรเจคมีอะไรบ้าง อยากให้เราทำอะไร เสร็จปุ๊บผมจะทำแบบนี้ตลอด คือเก็บมัดจำ ไม่สเก็ตช์ไม่อะไรให้ทั้งนั้นจนกว่าจะโอนมัดจำก้อนแรกมา ทีนี้ถ้าโปรเจคมันใหญ่ ราคาหลายพันหลายหมื่น เราก็จะแบ่งเป็นงวด อย่างเช่น มัดจำก่อน 30% เขาต้องโอนมัดจำมาก่อนนะเราถึงจะเริ่มสเก็ตช์งาน เราถึงเริ่มที่จะคิดงานให้ แต่ถ้าอยู่ดีๆ มาบอกว่า ไปสเก็ตช์งานมาให้ดูก่อนผมไม่ทำ
สรุปก็คือผมจะดู 2 อย่าง คือเขาต้องชอบงานเราเป็นอย่างแรก สองคือยอมที่จะจ่ายเงินมัดจำให้เรา นั่นแปลว่าเขาต้องการงานเราจริงๆ ตั้งแต่วันแรก เขารู้จักเรามาจนเชื่อถือในตัวเรา ในฝีมือเรา อะไรแบบนี้ พอเขาจ่ายมัดจำมา คนที่จ่ายมัดจำจะแปลก คือเขาจะไม่ค่อยเบี้ยว เขาจะไม่ค่อยอยู่ดีๆ แบบว่าพอถึงก้อนที่ 2 แล้วหาย หรือไม่เอาแล้ว ไม่มี เขาก็จะยอมจ่ายก้อนที่ 2 พอเราส่งงานปุ๊บ ก็จ่ายครบทั้งหมด อาจจะเป็นแบบนี้ 30/30/40 เขาจะไม่ค่อยเบี้ยว เขาจะโอเคกับเรา แต่ถ้าเป็นคนประเภทมาถึงแล้วบอกว่าสเก็ตช์ให้หน่อย ไหนลองส่งอะไรมาให้ดูสัก 2 - 3 หน้าสิ แล้วเราเผลอทำไป พวกนี้สุดท้ายมักจะหาย นี่คือการคัดคนของเราง่ายๆ
ถ้าเกิดทำงานไปด้วยแล้วรู้สึกว่าลูกค้าคนนี้เราไม่อยากทำงานด้วยแล้ว หรือโปรเจคนี้มันไม่ใช่อย่างที่เราคิด เรามีวิธีคืนเงินมัดจำยังไงให้มันดูโอเค
(คิด) ... มันมักจะไม่ค่อยโอเคนะ 5555555555555 มันมักจะมีเรื่องกัน แต่ผมก็อธิบายเขาไปนะว่าสิ่งที่เราทำไปแล้ว นั่นน่ะเราพยายามทำในแบบของเราแล้ว ซึ่งตั้งแต่ตอนแรกคุณก็รู้ว่าเรามาทางนี้ ซึ่งถ้าคุณเปลี่ยน Direction ไปมันก็อาจจะเป็นส่วนที่ผมทำไม่ไหวจริงๆ ทำไม่ได้ โดยที่เวลาผมคืนเงิน ผมไม่คืนทั้งหมดนะ ผมคืนโดยหัก Man Hour ของตัวเองออกไปด้วย สมมติผมทำไป 8 ชั่วโมง เขาโอนเงินมาทั้งหมด 20 ชั่วโมง ผมจะคืนให้เขา 12 ชั่วโมง ส่วนหนึ่งมันเป็นการบอกถึงว่ามันไม่ใช่เรื่องของอารมณ์ แต่เป็นเรื่องของ Professional คุยกันด้วย
ทิ้งท้ายก่อนจบช่วงเสวนา มีคำแนะนำอะไรมั้ยถ้าเราอยากจะเริ่มทำงานกับคนต่างชาติ เราควรจะมีอะไรบ้าง
อันดับแรกคือ จริงๆ แล้วคนจะได้งาน ได้เงิน ได้อะไรดีๆ ได้อะไรก็ตาม มันเกิดจาก 3 อย่าง
1. เป็นคนเก่ง ในเรื่องของตัวเอง
2. เป็นคนกล้า ในเรื่องของตัวเอง
3. เป็นคนดัง ในเรื่องของตัวเอง
คนเก่ง คือคนที่ บ้างานที่ตัวเองทำ รักงานที่ตัวเองทำ สมมติว่าผมเป็น Character Designer ผมไม่ทำอะไรเลย ผมนั่งเขียนงาน Character ทั้งวันทั้งคืน ผมรักงาน ผมสนุกกับมัน ผมเก่งแน่นอน สักวันนึงผมต้องเก่ง
คนกล้า ผมเคยเจอคนที่เป็น Web Designer เขาไม่ได้เก่งอะไรมาก แต่เขาได้ตังค์ ได้โปรเจคใหญ่ๆ ตลอด เพราะเขากล้า กล้าเดินเข้าไปหาแล้วบอกว่าเว็บไซต์คุณแย่แบบนี้ๆ เดี๋ยวผม Re-design ให้ แล้วผมมีความคิดแบบนี้ 1 2 3 4 ... เอาไปเสนอ แล้วก็ได้งาน เป็นต้น
คนดัง คือคนที่ชอบเข้าสังคม คือคนชอบพูดคุย ชอบแชร์ให้คนอื่นฟัง พูดให้คนอื่นเชื่อในแบบเราได้ หรือไปทำอะไรให้ตัวเองดัง
ทีนี้พระเจ้ายุติธรรมเสมอ เขามักจะไม่ให้ใครมีทั้ง 3 อย่างนี้ในตัวคนๆ เดียว คนแรกอาจจะมีข้อ 1 อย่างเดียว คนที่สองโชคดีหน่อยอาจจะมีข้อ 1 กับข้อ 2 คนที่สามอาจจะมีข้อ 3 น้อยคนมากที่จะมี 3 เรื่องนี้อยู่ในตัวคนเดียว ถ้ามีทั้ง 3 เรื่องอยู่ในตัวคนเดียว คุณทำงานไม่ทันแน่นอน
ทีนี้เราก็ต้องมาถามตัวเองว่าเราเป็นคนแบบไหนใน 3 คนนี้ แล้วก็มุ่งไปทางนั้น
ปล.
1. ขอบคุณงานดีๆ และภาพบรรยากาศงานจาก Hubba Thailand
2. นอกจาก dribbble กับ Behance แล้ว FreelanceBay เองก็เปิดให้เพื่อนๆ มาลงผลงาน สร้างโปรไฟล์ของตัวเองได้เหมือนกัน ลองเล่นกันดูได้จ้า